คำคม

คำคม

วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

คำศัพท์เพิ่มเติม

ศัพท์เพิ่มเติม

1. ระบบการจัดการเงินสด (Cash managment systems)
          การทำธุรกิจ เงินสดเปรียบเสมือนอ๊อกซิเจนที่จะช่วยให้ ธุรกิจอยู่รอดได้ และเจริญรุ่งเรืองขึ้น รวมทั้งยังใช้เป็นตัวชี้วัดในเบื้องต้นของความแข็งแกร่งทางธุรกิจ จนมีการกล่าวกันว่า ธุรกิจสามารถอยู่รอดได้ในระยะสั้นถ้าขาดยอดขายและกำไร แต่จะอยู่ไม่ได้เลยถ้าขาดเงินสด  เกร็ดความรู้ในครั้งนี้จะให้ข้อแนะนำการบริหารจัดการเงินสดอย่างมีประสิทธิภาพทำอย่างไร รวมทั้งวิธีการจัดการกับผู้บริโภค ซัพพลายเออร์ และผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหลายที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการไหลเวียนเงินสด ตลอดจน การแจกแจงปัญหาที่มักจะเกิดขึ้น และแนวทางการแก้ไขปัญหา

2. การโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Fund Transfer
          การโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (EFT) จะนำฝากรายได้ AdSense ของคุณเข้าสู่บัญชีธนาคารโดยตรงตามสกุลเงินในท้องถิ่นของคุณ เพื่อทำให้กระบวนการชำระเงินสะดวกและรวดเร็วขึ้น EFT มีให้บริการสำหรับผู้เผยแพร่ที่ใช้ที่อยู่การชำระเงินใน ประเทศที่เรารองรับ

3. ระบบบัญชีต้นทุน (Cost – accounting systems)
          การบัญชีต้นทุนเป็นส่วนหนึ่งของระบบบัญชีของกิจการ การบัญชีต้นทุนเป็นการบันทึกการวัดผลและการรายงานข้อมูลเกี่ยวกับ ต้นทุน แบ่งเป็น 2 ระบบ คือระบบบัญชีต้นทุนงานสั่งทำ(Job Order Cost System)เป็นการคิดต้นทุนของงานแต่ละงาน ทำให้ทราบต้นทุนทั้งหมดของงานนั้นๆ จึงมีประโยชน์ในการตั้งราคาขายเป็นสำคัญระบบบัญชีต้นทุนช่วง(Process Cost System)คิดต้นทุนของงานในแต่ละแผนก หรือเป็นช่วงๆของงาน ดังนั้นจะต้องมีการโอนย้ายต้นทุนระหว่างแผนก ซึ่งจะเป็น ประโยชน์ในการควบคุมต้นทุนและการประเมินผลงาน

4. Time to market
          ความยาวของเวลาที่ใช้ในผลิตภัณฑ์จากการคิดจนเป็นที่พร้อมสำหรับการขาย ทีทีเอ็มเป็นสิ่งที่สำคัญในอุตสาหกรรมที่ผลิตภัณฑ์ที่ล้าสมัยอย่างรวดเร็ว สมมติฐานที่พบบ่อยคือการที่ทีทีเอ็มที่สำคัญที่สุดสำหรับผลิตภัณฑ์แรกของชนิด แต่ที่จริงผู้นำมักจะมีความหรูหราของเวลาในขณะที่นาฬิกาจะเห็นได้ชัดว่าการทำงานสำหรับผู้ติดตาม

5. การวางแผนความต้องการวัสดุ  Material Requirement s Planning  (MRP)
          MRP ย่อมาจาก Material Requirements Planning แปลเป็นไทยว่า การวางแผนความต้องการวัสดุ เป็นซอฟแวร์เพื่อการวางแผนการผลิตและควบคุมคงคลัง เพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ 3 ประการ คือให้แน่ใจว่าวัสดุและผลิตภัณฑ์มีเพียงพอสำหรับการผลิตและส่งมอบให้แก่ลูกค้าเพื่อรักษาคงคลังให้อยู่ในระดับต่ำสุดเท่าที่จะทำได้เพื่อใช้วางแผนกิจกรรมต่าง ๆ ในโรงงาน, ทำตารางการส่งมอบและจัดซื้อขอบเขตของ MRP ในการผลิตองค์กรการผลิตต้องเผชิญปัญหาเดิม ๆ อยู่ทุกวัน และลูกค้านั้นยังต้องการผลิตภัณฑ์เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ นั่นหมายถึง ระดับของการวางแผนการผลิตต้องเป็นระบบมากขึ้นปัญหาของระบบ MRP  ปัญหาหลัก ๆ ของระบบ MRP ก็คือ การรวบรวมข้อมูลที่มีอยู่ทั้งหมด ถ้ามีข้อผิดพลาดใด ๆ ของข้อมูลที่มีอยู่นั่นหมายถึง Bill of meterials(BOM), Master Production Schedule(MPS) ก็จะให้ผลที่ไม่ถูกต้องไปด้วย หรือที่ภาษาอังกฤษย่อว่า GIGO(Garbage in, garbage out) โดยส่วนใหญ่แล้วการรวบรวมข้อมูลให้ได้อย่างน้อย 99% ก็ถือว่าเพียงพอสำหรับการทำงานที่ดีของระบบ     ปัญหาหลักอีกปัญหาหนึ่งของระบบ MRP ก็คือ ความต้องการที่ผู้ใช้ระบุแบบเฉพาะเจาะจงในเรื่องของระยะเวลาในการผลิตชิ้นส่วน หรือแม้แต่การระบุว่าการผลิตจะใช้เวลาเท่าเดิมตลอดเวลาโดยไม่คำนึงถึงปริมาณที่จะผลิตหรือชนิดของผลิตภัณฑ์

6. ค่าวัสดุ Bill of materials (BOM)
          คือรายการของวัตถุดิบประกอบย่อยส่วนประกอบกลางย่อยส่วนประกอบชิ้นส่วนและปริมาณของแต่ละที่จำเป็นในการผลิตสินค้าที่สิ้นสุด . BOM อาจจะใช้สำหรับการสื่อสารระหว่างคู่ค้าการผลิตหรือถูกคุมขังในโรงงานผลิตเดียว  BOM สามารถกำหนดผลิตภัณฑ์ที่พวกเขาได้รับการออกแบบการเรียกเก็บเงินของวัสดุวิศวกรรม ) เช่นที่พวกเขาจะได้รับคำสั่ง (เรียกเก็บเงินจากการขายวัสดุ) ขณะที่พวกเขาถูกสร้างขึ้น ( ค่าการผลิตของวัสดุ ) หรือที่พวกเขาจะเก็บรักษาไว้ (ค่าบริการของวัสดุ) ชนิดที่แตกต่างกันของ BOMs ขึ้นอยู่กับความต้องการทางธุรกิจและการใช้งานที่พวกเขามีความตั้งใจ ในอุตสาหกรรมกระบวนการ BOM เป็นที่รู้จักกันเป็นสูตร , สูตรหรือรายการส่วนผสม . ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ BOM แสดงให้เห็นถึงรายชื่อของชิ้นส่วนที่ใช้ในคณะกรรมการการเดินสายไฟที่พิมพ์หรือแผงวงจรพิมพ์ เมื่อการออกแบบของวงจรเสร็จสิ้นรายการ BOM จะส่งให้กับPCBวิศวกรรูปแบบเช่นเดียวกับที่วิศวกรส่วนที่จะจัดหาอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการออกแบบ

7. ปริมาณสั่งซื้อที่ประหยัด (Economic Order Quantity : EOQ
          หมายถึง ปริมาณสินค้าที่สั่งซื้อซึ่งทำให้ต้นทุนสินค้าคงเหลือรวมมีค่าต่ำสุด การคำนวณปริมาณสั่งซื้อที่ประหยัด ต้องมีข้อสมมติฐานดังนี้
1) ปริมาณการใช้หรือการขายสินค้านั้นเป็นอย่างสม่ำเสมอและสามารถคาดคะเนหรือกำหนดได้แน่นอน
2) ต้นทุนในการสั่งซื้อต่อครั้ง และต้นทุนในการเก็บรักษาสินค้าต่อหน่วยคงที่ตลอดช่วงเวลาที่วิเคราะห์

8. การวางแผนการผลิต Manufacturing Resource Planning (MRPll)
          เป็นระบบที่รวมการวางแผนและบริหารทรัพยากรการผลิตอื่นๆนอกจากการวางแผนแลควบคุมกำลังการผลิตและวัตถุดิบการผลิตเข้าไปในระบบด้วยเป็นระบบที่ช่วยบริหารการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดซึ่งโปรแกรมจะช่วยบริหารจัดการ/ควบคุมตั้งแต่ฝ่ายขาย ฝ่ายจัดซื้อ ฝ่ายวางแผน ฝ่ายผลิต ฝ่ายสินค้าคงคลัง ฝ่ายบัญชีต้นทุนการผลิตโดยข้อมูลจะเชื่อมโยงกันทั้งองค์กรเป็นระบบที่ช่วยในการวางแผนเกี่ยวกับความต้องการใช้วัตถุดิบ(MRP) โดยสามารถคำนวณจำนวนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต จากการสั่งซื้อ   (Order)  ของลูกค้าเพื่อจัดซื้อจัดหาวัตถุดิบในปริมาณและช่วงเวลาที่เหมาะสมส่งผลให้ต้นทุนขององค์ลดลง และทำให้ปริมาณคงคลังอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่สูงหรือต่ำจนเกิน  MRP II ได้วิวัฒนาการถึงขั้นที่รวมหน้าที่ต่าง ๆ ซึ่งประกอบด้วย การวางแผนงบการจัดซื้อวัตถุดิบการวางแผนต้นทุนสินค้าคงคลังของระบบบริหารสินค้าคงคลังการวางแผนกำลังคนที่สัมพันธ์กับกำลังการผลิต   การบริหารจัดการภายในองค์กร เนื่องจากมีการแข่งขันกันที่สูง องค์กรต่างๆจึงต้องมีการพัฒนากระบวนการและข้อมูลทั้งหมด ในองค์กร เพื่อที่จะได้มีศักยภาพในการแข่งขันมากขึ้น โดยจะมีการนำอินเทอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทในห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) โดยเป็นแหล่งจำหน่ายสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคโดยตรง โดยการผลิตตามความต้องการของลูกค้า ซึ่งจะมีการติดต่อระหว่างสายการผลิตไปจนถึงช่องทางจำหน่ายทั้งนี้เพื่อที่จะลดขั้นตอนในห่วงโซ่อุปทาน จะทำให้ลดค่าใช้จ่ายในกระบวนการผลิต

9. เพียงในเวลา Just in Time
          การผลิตหรือการส่งมอบสิ่งของที่ต้องการ ในเวลาที่ต้องการ ด้วยจำนวนที่ต้องการ โดยใช้ความต้องการของลูกค้าเป็นเครื่องกำหนดปริมาณการผลิตและการใช้วัตถุดิบ ซึ่งหมายรวมถึงบุคคลากรในส่วนงานต่าง ๆ ที่ต้องการงานระหว่างทำ (Work In Process) หรือวัตถุดิบ (Raw Material) เพื่อให้เกิดการผลิตได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้วัสดุคงคลังที่ไม่จำเป็นในรูปของวัตถุดิบ (Raw Material), งานระหว่างทำ (Work In Process) และสินค้าสำเร็จรูป (Finished Goods) กลายเป็นศูนย์ โดยวัตถุประสงค์ของการผลิตแบบทันเวลาพอดีคือ
          1. ต้องการควบคุมวัสดุคงคลังให้อยู่ในระดับที่น้อยที่สุดหรือเท่ากับศูนย์ (Zero Inventory)
          2. ต้องการลดเวลานำหรือระยะเวลารอคอยในกระบวนการผลิตให้น้อยที่สุดหรือเท่ากับศูนย์ (Zero Lead Time)
          3. ต้องการขจัดปัญหาของเสียที่เกิดขึ้นจากการผลิตให้เป็นศูนย์ (Zero Failures)
          4. ต้องการขจัดความสูญเปล่าในการผลิตดังต่อไปนี้
                    - การผลิตมากเกินไป : ชิ้นส่วนและผลิตภัณฑ์ถูกผลิตมากเกินความต้องการ
                    - การรอคอย : วัสดุหรือข้อมูลสารสนเทศ หยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหวหรือติดขัดเคลื่อนไหวไม่สะดวก
                    - การขนส่ง : มีการเคลื่อนไหวหรือมีการขนย้ายวัสดุในระยะทางที่มากเกินไป
                    - กระบวนการผลิตที่ขาดประสิทธิภาพ : มีการปฏิบัติงานที่ไม่จำเป็น
                    - การมีวัสดุหรือสินค้าคงคลัง : วัตถุดิบและผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปมีเก็บไว้มากเกินความจำเป็น
                    - การเคลื่อนไหว : มีการเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็นของผู้ปฏิบัติงาน
                    - การผลิตของเสีย : วัสดุและข้อมูลสารสนเทศที่ไม่ได้มาตรฐาน ผลิตภัณฑ์ไม่มีคุณภาพ
          ตัวอย่างง่าย ๆ กันเลยว่า JIT มีบทบาทกับเราอย่างไร เอาเป็นเรื่องของการนัดสัมภาษณ์งานก็แล้วกัน เช่น เมื่อบริษัทต้องการที่จะนัดเราสัมภาษณ์งานในเวลา 10:00 น. นั่นหมายถึงว่าผู้สัมภาษณ์หรือผู้บริหารที่จะมาสัมภาษณ์เราได้มีการวางตารางงานเอาไว้แล้ว ว่าช่วงเวลานั้นจะเป็นช่วงเวลาที่สะดวก เขาจะไม่นัดให้มาก่อนหน้านั้น เพราะไม่อยากให้มาสัมภาษณ์งานต้องรอนาน และเขาก็ไม่อยากให้เรามาสายเพราะเนื่องจากผู้สัมภาษณ์ก็ไม่ต้องการมานั่งรอที่จะสัมภาษณ์งานด้วย และผู้สัมภาษณ์ก็อาจจะมีภาระงานอื่นที่ต้องทำเช่นกัน ฉะนั้นคำว่า Just In Time ก็จะมีความหมายถึงการตรงต่อเวลา ไม่เร็วและไม่สายเกินกว่าเวลาที่กำหนด ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาในการรอคอย ได้เป็นอย่างดีทีนี้เราลองมาดูกันในส่วนของข้อดีและข้อเสียของระบบ JIT กันดีกว่า

10. คลื่นความถี่วิทยุ Radio Frequency Identification (RFID)
          RFID ย่อมาจากคำว่า Radio Frequency Identification เป็นระบบฉลากที่ได้ถูกพัฒนามาตั้งแต่ปี ค.. 1980 โดยที่อุปกรณ์ RFID ที่มีการประดิษฐ์ขึ้นใช้งานเป็นครั้งแรกนั้น เป็นผลงานของ Leon Theremin ซึ่งสร้างให้กับรัฐบาลของประเทศรัสเซียในปี ค.. 1945 ซึ่งอุปกรณ์ที่สร้างขึ้นมาในเวลานั้นทำหน้าที่เป็นเครื่องมือดักจับสัญญาณ ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นตัวระบุเอกลักษณ์อย่างที่ใช้งานกันอยู่ในปัจจุบัน  RFID ในปัจจุบันมีลักษณะเป็นป้ายอิเล็กทรอนิกส์ (RFID Tag) ที่สามารถอ่านค่าได้โดยผ่านคลื่นวิทยุจากระยะห่าง เพื่อตรวจ ติดตามและบันทึกข้อมูลที่ติดอยู่กับป้าย ซึ่งนำไปฝังไว้ในหรือติดอยู่กับวัตถุต่างๆเช่น ผลิตภัณฑ์ กล่อง หรือสิ่งของใดๆ สามารถติดตามข้อมูลของวัตถุ 1 ชิ้นว่า คืออะไร ผลิตที่ไหน ใครเป็นผู้ผลิต ผลิตอย่างไร ผลิตวันไหน และเมื่อไร ประกอบไปด้วยชิ้นส่วนกี่ชิ้น และแต่ละชิ้นมาจากที่ไหน รวมทั้งตำแหน่งที่ตั้งของวัตถุนั้น ๆ ในปัจจุปันว่าอยู่ส่วนใดในโลก โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยการสัมผัส (Contact-Less) หรือต้องเห็นวัตถุนั้นๆ ก่อน  ทำงานโดยใช้เครื่องอ่านที่สื่อสารกับป้ายด้วยคลื่นวิทยุในการอ่านและเขียนข้อมูล 

11. เลขรหัสสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ Electronic Product Code (EPC)
          เลขรหัสสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ (EPC) เป็นโครงสร้างใหม่ในการกำหนดเลขรหัสให้กับสินค้าที่ถูกพัฒนาขึ้นโดย Auto-ID Center โดยมีองค์กร GS1 เป็นผู้สนับสนุนการวิจัยและพัฒนา เทคโนโลยีดังกล่าวจะทำให้การกำหนดเลขรหัสเพื่อบ่งชี้สินค้าแต่ละหน่วย แต่ละชิ้นมีความแตกต่างกัน นับได้ว่ามีประสิทธิภาพดีกว่าเลขรหัสบาร์โค้ดในระบบเดิม โดยเลขรหัสสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ (EPC) จะเป็นข้อมูลที่มีความจำเป็นและบรรจุอยู่ภายในหน่วยความจำของ RFID Tag เพื่อประโยชน์ในการอ่านและบ่งชี้ข้อมูลต่างๆ สำหรับเลขรหัสบาร์โค้ดเป็นเลขบ่งชี้เพื่อกำกับสินค้าชนิดนั้นๆ โดยสินค้าประเภทเดียวกันที่มีลักษณะเหมือนกันทุกประการก็จะมีเลขรหัสเดียวกันทั้งหมด ถึงแม้จะเป็นสินค้าที่มีวันที่ผลิตและวันหมดอายุต่างกัน ระบบ EPC จะมีลักษณะการนำไปใช้งานได้มากกว่าระบบบาร์โค้ด เพราะ EPC มีโครงสร้างเลขรหัสที่มีจำนวนตัวเลขมากกว่า จึงสามารถนำไปกำหนดให้กับสินค้าทุกชิ้นมีเลขรหัสที่ต่างกันทั้งหมดได้ ดังนั้น ถึงแม้จะเป็นสินค้าที่เหมือนกันแต่คนละชิ้นก็จะมีเลขรหัสต่างกัน ทำให้สินค้าที่มีวันที่ผลิตและวันหมดอายุต่างกันมีเลขรหัสต่างกัน ซึ่งเป็นประโยชน์ในการบริหารจัดการสินค้านั้นให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น